โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง
แต่อุบัติการของโรคนี้ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนที่แน่นอน โรคนี้พบได้ประมาณ
10% ของประชากรทั่วไป และพบได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะมีอาการเป็นๆ
หายๆ เรื้อรัง
โรคกระเพาะตามความหมายของแพทย์ หมายถึง แผลที่กระเพาะอาหาร
(gastric ulcer) หรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
(duodenal ulcer) ซึ่งมีรายงานจากโรงพยาบาลศิริราชว่าแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นพบมากกว่าแผลที่กระเพาะอาหารประมาณ
2 เท่า
แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นพบบ่อยในวัยหนุ่มสาว
โดยอายุเฉลี่ยของผู้เป็นโรคนี้คือ 35 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ
4 เท่า ส่วนแผลที่กระเพาะอาหารมักพบในวัยกลางคนขึ้นไป โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคนี้คือ
42 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ
3 เท่า
สาเหตุของโรคดังกล่าวยังไม่ชัดเจน
ปกติจะมีสารเมือก (mucin) หลั่งออกจากต่อมในส่วนล่างของหลอดอาหาร
กระเพาะอาหารและส่วนบนของลำไส้เล็ก เพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะจากฤทธิ์กัดของน้ำย่อยที่เป็นกรดอย่างแรง
แต่มีปัจจัยบางอย่างที่คาดว่าจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง
เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ง่าย เช่น ภาวะขาดอาหาร ภาวะเครียด
พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานยาหรือสารบางชนิดที่กัดกระเพาะ สูบบุหรี่จัด
ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากหรือเนื่องจากกรรมพันธุ์
อาการระยะแรก
คือ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อาจมีความรู้สึกอิ่มแน่นหรือหิวร่วมด้วย
แผลในกระเพาะอาหารมักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1-ชั่วโมงครึ่ง ส่วนแผลในลำไส้มักปวดท้องหลังอาหารประมาณ
2-4 ชั่วโมง และช่วงดึกหลังเที่ยงคืนด้วย
การรักษาจะไม่หายขาด ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองคล้ายกับผู้ป่วยท้องอืด
ท้องเฟ้อ ระยะที่ปวดท้องควรดื่มนมถั่วเหลืองทุก 3-4 ชั่วโมงพร้อมทั้งใช้สมุนไพรที่แนะนำ
รับประทานอาหารอ่อน ทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ งดอาหารรสจัดและสิ่งต้องห้ามข้างต้น
และหาทางคลายเครียดด้วย จะมีสมุนไพรที่ช่วยรักษาเยื่อบุทางเดินอาหารให้แข็งแรงขึ้น
และควรใช้สมุนไพรขับลมร่วมด้วย กล้วยน้ำว้ารับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง
1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง
1 ผล
ข้อควรระวัง อาจมีอาการท้องอืดหลังรับประทานยานี้
แก้ได้โดยดื่มน้ำต้มขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆ
ขมิ้นชันผงขมิ้นครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนหรือปั้นเป็นลูกกลอนขนาดปลายนิ้วก้อย
รับประทานครั้งละ 2 เม็ด