- สภาพดิน |
กลุ่มชุดดินที่
1
ลักษณะโดยทั่วไป เนื้อดินเป็นดินเหนียวจัด หน้าดินแตกระแหงเป็นร่องเล็กในฤดูร้อน สีดินส่วนมากเป็นสีดำหรือสีเทาแก่
ตลอดชั้นดินอาจมีจุดประ
สีน้ำตาลหรือสีเหลืองปะปนอยู่บ้างในดินชั้นบน ส่วนดินชั้นล่างมักจะมีก้อนปูนปะปน
เกิดจากต้นกำเนิดดินพวกตะกอนลำน้ำบริเวณเทือกเขาหินปูนหรือหิน
ภูเขาไฟสภาพพื้นที่พบตามที่ราบลุ่มตั้งแต่ที่ราบน้ำท่วม ถึงตะพักลำน้ำระดับต่ำ มีน้ำแช่ขังในฤดูฝนลึก
30 - 40 ซม. นาน 3 - 4 เดือน ดินลึกมีความอุดมสมบูรณ์ ตามธรรมชาติปานกลางถึงสูง pH 6.5-8.0 ได้แก่ ชุดดินช่องแค ท่าเรือ
โคกกระเทียม บ้านหมี่ ลพบุรี-ทำนาบุรีรัมย์-ทำนา บางเลน บ้านโพด และวัฒนา |
ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน : ดินเหนียวจัด การไถพรวนลำบาก ดินแห้งจะแตกระแหงเป็นร่องลึก
ทำให้น้ำซึมหาย ได้ง่ายเมื่อฝนทิ้งช่วงนานกว่าปกติ ในช่วงฤดูฝนมีน้ำแช่ขัง |
ความเหมาะสมสำหรับปลูกพืช : พื้นที่มีศักยภาพเหมาะสมทำนา ในฤดูฝนมีน้ำขัง 3-4 เดือน แต่สามารถปลูกพืชไร่
เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว และผักต่าง ๆ ก่อนและหลังการปลูกข้าว
ถ้ามีน้ำชลประทาน หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ |
การจัดการกลุ่มชุดดิน
1
ปลูกข้าวหรือทำนา เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน โดยการไถกลบตอซัง หลังการเก็บเกี่ยวข้าว |
การปลูกพืชตระกูลถั่ว ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วหมุนเวียนกับพืชไร่อย่างอื่น หรือการปลูกพืชปุ๋ยสด
เช่น ปอเทือง โสน โสนอัฟริกัน ถั่วต่าง ๆ อัตราไร่ละ 5 กก./ไร่ หว่านทั่วแปลงแล้วไถกลบต้นลงดินก่อน
ปลูกข้าว 2-3 เดือน การใช้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความ อุดม สมบูรณ์ กรณีใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกให้ใช้อัตรา 2-3 ตัน/ไร่ ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีสำหรับพันธุ์ข้าวไวแสง
เช่น ขาวปากหม้อ 148 ขาวตาแห้ง 17 ปทุมธานี 60 ให้ใช้ปุ๋ยครั้งที่ 1
สูตร 16-20-0 หรือสูตร 18-22-0 อัตรา 25-30 กก./ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2
ใส่ปุ๋ยยูเรีย 5-10 กก./ไร่ หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 10-20 กก./ไร่ ถ้าเป็นพันธุ์ข้าว
ไม่ไวแสง เช่น กข. 1-5 กข.7 กข.9 สุพรรณบุรี 60 ให้ใช้ปุ๋ยครั้งที่ 1 สูตร
16-20-0 หรือสูตร 18-22-0 อัตรา 25-35 กก./ไร่ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยยูเรีย
10-15 กก./ไร่ หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 20-30 กก./ไร่ |
ปลูกพืชไร่ กรณีปลูกหลังเก็บเกี่ยวข้าว หรือปลูกฤดูแล้ง พืชไร่ที่จะปลูกควรมีอายุไม่เกิน
120 วัน ให้ยกร่องสูง 20-30 ซม. และมีร่องระบายน้ำรอบแปลง หรือภายในแปลงนาห่างกัน
15-20 เมตร ควรมีความกว้าง 40-50 ซม. ลึก 20-30 ซม. ทำให้ดินร่วนซุยด้วยปุ๋ยอินทรีย์
ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ไถคลุก-เคล้ากับดินและตากดินให้แห้ง
20-30 วัน ก่อนที่จะย่อยดิน กรณีเปลี่ยนสภาพพื้นที่จากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่แบบถาวร
ต้องสร้างคันดินรอบพื้นที่ปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน ภายในพื้นที่ยกร่องปลูกแบบถาวร
โดยให้สันร่องกว้าง 6-8 เมตร คูระบายน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร ลึกประมาณ
1 เมตร บนสันร่องใหญ่อาจแบ่งซอยเป็นสันร่องย่อย โดยยกแปลงให้สูงขึ้นประมาณ
10-20 ซม. และกว้าง 1.5 - 2.0 เมตร เพื่อช่วยระบายน้ำบนสันร่องและเพื่อสะดวกในการเข้าไปดูแลกำจัดวัชพืช
ใส่ปุ๋ยการใช้ปุ๋ย เคมี เช่น |
ถั่วเหลือง
ถั่วเขียว ถั่วลิสง ใช้สูตร 0-46-0 หรือ สูตร0-40-0 อัตรา 15-20
กก./ไร่ หรือสูตร 0-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ โดยโรยปุ๋ย ก้นร่องหรือหว่านปุ๋ยที่แปลงพรวนดินกลบปุ๋ยก่อนปลูก |
อ้อย ใช้สูตร 16-8-8 อัตรา 70-90 กก./ไร่ หรือสูตร 20-10-10 อัตรา 50 กก./ไร่
สำหรับอ้อยปลูกใส่ครั้งเดียว พรวนกลบ เมื่ออ้อยอายุ 60-90 วัน ส่วนอ้อยตอ
ใช้สูตร 10-5-5 อัตรา 40-50 กก./ไร่ ใส่ครั้งเดียวโรยข้างแถวแล้ว พรวนดินกลบ
สำหรับปุ๋ยที่ใส่เพื่อแต่งตอ ใช้สูตร 15-10-10 อัตรา 100 กก./ไร่ แบ่งใส่
2 ครั้ง ครั้งแรกใส่หลังแต่งกอ และครั้งที่สองใส่หลังครั้งแรก 40-60 วัน |
ฝ้าย ใช้สูตร 21-0-0 อัตรา 20-30 กก./ไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา
15-20 กก./ไร่ ใส่หรือปลูก 20-25 วัน โดยโรย ข้างแถวแล้วพรวนดิน ปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น
จัดทำคันดินรอบพื้นที่ ยกร่องตามความยาวพื้นที่ ขนาดกว้าง 6 เมตร สูง 80-100
ซม. ท้อง ร่องระหว่างร่องปลูกกว้าง 1.5-2.0 เมตร
ลึก 1 เมตร ร่องน้ำระหว่างสันร่องที่ปลูกพืชควรต่อเนื่องกับร่องรอบสวนที่อยู่
ติดกับคันดิน ป้องกันน้ำท่วม เตรียมหลุมปลูกขนาดกว้างxยาวxลึก ประมาณ 50-
100 ซม. แยกดินชั้นบนและล่างกองไว้ ปากหลุมทิ้งตากแดด 1-2 เดือนคลุกดินกับปุ๋ย
อินทรีย์ อัตรา 10-20 กก./หลุม เป็นดินปลูก ปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่ปีละครั้ง
อัตรา
10-30 กก./ไร่ ส่วนปุ๋ยเคมีขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ผลการใช้ปุ๋ยเคมี เช่น |
มะม่วง (ให้ผลแล้ว) ใช้ปุ๋ยสูตร 20-10-10 อัตรา 1.5-3.0
กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 หลังเก็บเกี่ยวผล ผลิต ครั้งที่
2 หลังตัดแต่งกิ่ง ครั้งที่ 3 ใส่ช่วงหลังติดผลแล้ว ส้ม (ที่ตกผลแล้ว)
ใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 2.0 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง |
ขนุน ใช้สูตร 15-15-15 หรือสูตร 13-13-21 อัตรา 2.0 กก./ต้น/ปี โรยปุ๋ยรอบโคนต้นรัศมีพุ่มใบ
พรวนดิน พูนโคน กลบปุ๋ยต้นฤดูฝน |
พืชที่เหมาะสมกับชุดดิน อ้อย
, ฝ้าย , ส้มเขียวหวาน , ขนุน |
กลุ่มชุดดินที่
33
ลักษณะโดยทั่วไป : เนื้อดินเป็นพวกดินร่วนปนทรายแป้ง ดินมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลปนแดง บางแห่ง
ในดินล่างลึก ๆ มีจุดประสีเทาและน้ำตาล อาจมีแร่ไมก้าหรือก้อนปูนปะปน เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินพวกตะกอนลำน้ำ
พบบนสันดินริมน้ำเก่าและเนินตะกอนรูปพัด มีพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบถึงเป็นลูกคลื่นลอนลาด
มีความลาดชันประมาณ 2-12 % เป็นดินลึกมาก มีการระบายน้ำดีถึงดีปานกลาง
ระดับน้ำใต้ดินอยู่ลึกกว่า 1 เมตรตลอดปี มีความ อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติปานกลาง
ดินชั้นบนมี pH ประมาณ 6.5-7.5 ได้แก่ชุดดินดงยางเอน ชุดดินกำแพงแสน ชุดดินกำแพงเพชร
และชุดดินลำสนธิ ธาตุพนม |
ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน : มีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำได้ในบางปี |
ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช : กลุ่มชุดดินที่ 33 มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชหลายชนิดทั้งพืชไร่ พืชผัก
ไม้ผล และทำนาข้าวซึ่งได้ใช้ประโยชน์ดังกล่าวนี้อยู่ในภาคต่าง ๆ ที่พบดินกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับศักยภาพ |
การจัดการกลุ่มชุดดินที่
33
ปลูกข้าวหรือทำนา ปัญหาดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่างหรือมีแต่ไม่เพียงพอ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่
ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก อัตรา 1.5-2.0 ตัน/ไร่ ใส่ระยะการไถเตรียมดินก่อนปักดำข้าว
หรือ อาจจะมีการปลูกพืชตระกูลถั่วพวกปอเทือง โสนอัฟริกาฯ เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด
โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 5 กก./ไร่ หว่าน ก่อนถึงฤดูทำนาประมาณ 2-3 เดือน
แล้วจึงไถกลบ การใส่ปุ๋ยเคมี ควรใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใส่ก่อนปักดำ 1 วัน
หรือ ใส่วันปักดำแล้วคราดกลบโดยใช้ปุ๋ย 16-20-0 หรือ 20-20-0 อัตรา 20
กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง และอัตรา 35 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง
ครั้งที่สอง ใส่ก่อนระยะข้าวออกดอก
ประมาณ 30 วัน หรือ หลังจากปักดำแล้วประมาณ 30-45 วัน โดยหว่านให้ทั่วแปลงเป็นการใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตอัตรา
15 กก./ไร่ หรือ ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 6 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อแสงหรือใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต
อัตรา 13 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง |
ปลูกพืชไร่ ปัญหาการระบายน้ำของดินเลว การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
ในกรณีปลูกพืชไร่ในช่วงฤดูแล้งหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าวควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ให้ทำร่องระบายน้ำรอบกระทงนาและทำร่องระบายในกระทงนาในกรณีที่กระทงนาใหญ่
ซึ่งห่างกันประมาณ 15-20 เมตรและร่องมีความกว้าง 40- 50 ซม.ลึกประมาณ 20-30
ซม. ซึ่งร่องที่กล่าวนี้จะช่วยระบายน้ำผิวดินและสะดวกในการให้น้ำและเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก
ปัญหาดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง และดินค่อนข้างไม่ร่วนซุย เช่น พืชตระกูลถั่ว
ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา
1-2 ตัน/ไร่ หว่านให้ทั่วแปลงแล้วไถกลบก่อน ปลูก 7-14 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร
0-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ หรือสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชเท่าเทียมกัน
ใส่รองก้นหลุมปลูกหรือโรยสองข้างแถวปลูกแล้วพรวน ดินกลบเมื่อถั่วอายุได้
20-25 วัน |
ข้าวโพด
และข้าวฟ่าง ใส่ปุ๋ยเคมีปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่มชุดดินที่ 4 |
ปลูกไม้ผล เตรียมหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 ซม. คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
25-30 กก./หลุม |
พืชที่เหมาะสมกับชุดดิน ถั่ว,
ข้าวโพด, ข้าวฟ่าง, ลิ้นจี่ |
- การคมนาคม
ตำบลนครหลวง
มีการคมนาคมทางรถยนต์ที่สะดวกโดยมีถนนลาดยาง สานนครหลวง - ท่าเรือ และนครหลวง
- ภาชี ผ่าน ตลอดทุกหมู่บ้าน ยกเว้นหมู่ 9 ซึ่งมีถนนลูกรังเข้าหมู่บ้านใช้ได้ตลอดทั้งป และภายในหมู่บ้านจะมีถนนลูกรังและถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้าน
ซึ่งใช้ได้ตลอดทั้งปี ปัญหาในเรื่องการขนส่งปัจจัยการผลิตและผลผลิตจึงมีน้อยมาก |
- แหล่งน้ำ
แหล่งน้ำที่สำคัญและมีต่อกิจกรรมการเกษตรของตำบลนครหลวง
ประกอบด้วย
1. แหล่งน้ำธรรมชาติ ได้แก่
แม่น้ำป่าสัก ไหลผ่านระหว่างตำบลแม่ลาผ่านมาตำบลนครหลวงมาออกตำบลปากจั่น
บึงบัว เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งอยู่ใน หมู่ 9 ตำบลนครหลวง ซึ่งบึงบัวนี้จะเขตติดต่อกับตำบลพระนอน
ซึ่งจะมีน้ำใช้ได้ตลอดปี
2. แหล่งน้ำสร้างขึ้น ได้แก่ ชลประทาน
ได้รับน้ำจากโครงการส่งน้ำนครหลวง โดยได้รับน้ำเต็มพื้นที่ในฤดูฝน ส่วนในฤดูแล้งชลประทานจะส่งน้ำให้
3. ระดับน้ำใต้ดิน ของตำบลนครหลวงอยู่ในระดับต่ำประมาณ
4 - 5 เมตร พืชไม่สามารถนำมาใช้ได้ |
|