![](../images/D_039.gif) |
ประวัติ/ความเป็นมาของตำบล |
ประวัติจากการสอบถามบุคคลสำคัญในหมู่บ้านตำบล
ได้มีผู้เล่าสืบทอดกันมาว่า ตำบลปากจั่นนั้น เดิมมีปลาชุกชุมและราษฎรนิยมใช้จั่น
ซึ่งเป็น
อุปกรณ์สำหรับดักปลา ทำการดักปลากันมาก จนผู้ที่ผ่านไปมาจากตำบลอื่น และภายในตำบลพบเห็นอยู่เป็นประจำ
และเมื่อมีผู้พูดถึงตำบลนี้จะเรียกว่า
ตำบลปากจั่น ตามชื่อของจั่นอุปกรณ์ดักปลาซึ่งพบเห็นกันมากและได้ตั้งชื่อว่าตำบลปากจั่นมาจนถึงวัน |
![](../images/D_039.gif) |
แผนที่ตำบล |
|
![](pic 0/map_pakjun.png) |
อาณาเขตของตำบลสามไถ |
ทิศเหนือ |
ติดต่อกับ ตำบลนครหลวง ม.8 |
ทิศใต้ |
ติดต่อกับ ตำบคลองสะแก |
ทิศตะวันออก |
ติดต่อกับ ตำบลหนองปลิง |
ทิศตะวันตก |
ติดต่อกับ ตำบลบางระกำ |
|
|
![](../images/D_039.gif) |
ข้อมูลของตำบล |
|
-
สภาพทั่วไป |
|
ตำบลปากจั่น
ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ ของตำบลนครหลวง ซึ่งติดกับตำบลนครหลวง เป็นที่ตั้งของตัวอำเภอนครหลวง ตำบลปากจั่น แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 6 หมู่บ้าน ได้แก่
|
|
|
หมู่ที่ 1 |
บ้านเกาะปากจั่น |
ผู้ใหญ่บ้าน นายปานเสก สัมมาญาณ |
เบอร์โทร. 089-4111797 |
|
หมูที่ 2 |
บ้านปากจั่น |
ผู้ใหญ่บ้าน นายไพฑูรย์ ชูมาลัยวงศ์ |
เบอร์โทร. 089-0803540 |
|
หมู่ที่ 3 |
บ้านสกัดน้ำมันใต้ |
กำนัน นายสุเทพ บุญแจ้ง |
เบอร์โทร. 097-2472725 |
|
หมู่ที่ 4 |
บ้านท้องคุ้ง |
ผู้ใหญ่บ้าน นายเรวัช วงศ์รอด |
เบอร์โทร. 081-9910689 |
|
หมู่ที่ 5 |
บ้านดาบทอง |
ผู้ใหญ่บ้าน นายเสถียร ดวงแก้ว |
เบอร์โทร. 080-4242699 |
|
หมู่ที่ 6 |
บ้านสกัดน้ำมันเหนือ |
ผู้ใหญ่บ้าน นายประทีป จันทร์กลิ่นหอม |
เบอร์โทร. 081-2919173 |
|
|
- สภาพดิน |
|
กลุ่มชุดดินที่
1 |
|
ลักษณะโดยทั่วไป : เนื้อดินเป็นดินเหนียวจัด หน้าดินแตกระแหงเป็นร่องเล็กในฤดูร้อน สีดินส่วนมากเป็นสีดำหรือสีเทาแก่
ตลอดชั้นดิน อาจมีจุดประสีน้ำตาลหรือสีเหลืองปะปนอยู่บ้างในดินชั้นบน
ส่วนดินชั้นล่างมักจะมีก้อนปูนปะปน เกิดจากต้นกำเนิดดินพวกตะกอนลำน้ำบริเวณเทือกเขาหินปูน
หรือ หินภูเขาไฟ
สภาพพื้นที่พบ ตามที่ราบลุ่มตั้งแต่ที่ราบน้ำท่วม ถึงตะพักลำน้ำระดับต่ำ
มีน้ำแช่ขังในฤดูฝนลึก 30 - 40 ซม. นาน 3 - 4 เดือน ดินลึก มีความอุดมสมบูรณ์
ตามธรรมชาติ ปานกลางถึงสูง pH 6.5-8.0 ได้แก่ ชุดดินช่องแค ท่าเรือ โคกกระเทียม
บ้านหมี่ ลพบุรี-ทำนาบุรีรัมย์-ทำนา บางเลน บ้านโพด และวัฒนา
ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน : ดินเหนียวจัดการไถพรวนลำบาก ดินแห้งจะแตกระแหงเป็นร่องลึกทำให้น้ำซึมหายได้ง่ายเมื่อฝนทิ้งช่วงนานกว่าปกติ
ในช่วงฤดูฝนมีน้ำแช่ขัง
ความเหมาะสมสำหรับปลูกพืช : พื้นที่มีศักยภาพเหมาะสมทำนา ในฤดูฝนมีน้ำขัง 3-4 เดือน แต่สามารถปลูกพืชไร่
เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง
ถั่วเขียว และผักต่าง ๆ ก่อนและหลังการปลูกข้าว ถ้ามีน้ำชลประทาน หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ
การจัดการกลุ่มชุดดิน
1
ปลูกข้าวหรือทำนา เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน โดยการไถกลบตอซัง หลังการเก็บเกี่ยวข้าว
การปลูกพืชตระกูลถั่ว ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วหมุนเวียนกับพืชไร่อย่างอื่น หรือการปลูกพืชปุ๋ยสด
เช่น ปอเทือง โสน โสนอัฟริกัน
ถั่วต่าง ๆ อัตราไร่ละ 5 กก./ไร่ หว่านทั่วแปลงแล้วไถกลบต้นลงดินก่อน ปลูกข้าว
2-3 เดือน การใช้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความ อุดม สมบูรณ์ กรณีใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ให้ใช้อัตรา 2-3 ตัน/ไร่ ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีสำหรับพันธุ์ข้าวไวแสง
เช่น ขาวปากหม้อ 148 ขาวตาแห้ง 17 ปทุมธานี 60 ให้ใช้ปุ๋ยครั้งที่ 1 สูตร 16-20-0 หรือสูตร 18-22-0 อัตรา 25-30 กก./ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยยูเรีย
5-10 กก./ไร่ หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 10-20 กก./ไร่ ถ้าเป็นพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง เช่น กข. 1-5 กข.7 กข.9 สุพรรณบุรี 60 ให้ใช้ปุ๋ยครั้งที่ 1 สูตร
16-20-0 หรือสูตร 18-22-0 อัตรา 25-35 กก./ไร่ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยยูเรีย
10-15
กก./ไร่ หรือปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 20-30 กก./ไร่
ปลูกพืชไร่
กรณีปลูกหลังเก็บเกี่ยวข้าว หรือปลูกฤดูแล้ง พืชไร่ที่จะปลูกควรมีอายุไม่เกิน
120 วัน ให้ยกร่องสูง 20-30 ซม. และมีร่องระบายน้ำรอบแปลง หรือภายในแปลงนาห่างกัน 15-20 เมตร ควรมีความกว้าง 40-50 ซม.
ลึก 20-30 ซม. ทำให้ดินร่วนซุยด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา
1-2 ตัน/ไร่ ไถคลุก-เคล้ากับดินและตากดินให้แห้ง 20-30 วัน ก่อนที่จะย่อยดิน
กรณีเปลี่ยนสภาพพื้นที่จากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่แบบถาวร ต้องสร้างคันดินรอบพื้นที่ปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝน ภายในพื้นที่ยกร่องปลูกแบบถาวร
โดยให้สันร่องกว้าง 6-8 เมตร คูระบายน้ำกว้างประมาณ 1.5 เมตร ลึกประมาณ
1 เมตร บนสันร่องใหญ่อาจแบ่งซอยเป็นสันร่องย่อย โดยยกแปลงให้สูงขึ้นประมาณ
10-20 ซม. และกว้าง 1.5 - 2.0 เมตร เพื่อช่วยระบายน้ำบนสันร่องและเพื่อสะดวกในการเข้าไปดูแลกำจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย การใช้ปุ๋ยเคมี เช่น
ถั่วเหลือง
ถั่วเขียว ถั่วลิสง ใช้สูตร 0-46-0 หรือ สูตร0-40-0 อัตรา 15-20
กก./ไร่ หรือสูตร 0-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ โดยโรยปุ๋ยก้นร่องหรือหว่านปุ๋ยที่แปลงพรวนดินกลบปุ๋ยก่อนปลูก
อ้อย ใช้สูตร 16-8-8 อัตรา 70-90 กก./ไร่ หรือสูตร 20-10-10
อัตรา 50 กก./ไร่ สำหรับอ้อยปลูกใส่ครั้งเดียว พรวนกลบ เมื่ออ้อยอายุ
60-90 วัน ส่วนอ้อยตอ ใช้สูตร 10-5-5 อัตรา 40-50 กก./ไร่ ใส่ครั้งเดียวโรยข้างแถวแล้ว
พรวนดินกลบ สำหรับปุ๋ยที่ใส่เพื่อแต่งตอ ใช้สูตร 15-10-10 อัตรา
100 กก./ไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่หลังแต่งกอ และครั้งที่สองใส่หลังครั้งแรก
40-60 วัน
มะม่วง (ให้ผลแล้ว) ใช้ปุ๋ยสูตร 20-10-10 อัตรา 1.5-3.0 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3
ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 หลังเก็บเกี่ยวผล ผลิต ครั้งที่ 2
หลังตัดแต่งกิ่ง ครั้งที่ 3 ใส่ช่วงหลังติดผลแล้ว ส้ม (ที่ตกผลแล้ว) ใช้สูตร
15-15-15 อัตรา 2.0 กก./ต้น/ปี แบ่งใส่ 3 ครั้ง
ขนุน ใช้สูตร 15-15-15 หรือสูตร 13-13-21 อัตรา 2.0 กก./ต้น/ปี โรยปุ๋ยรอบโคนต้นรัศมีพุ่มใบ
พรวนดิน พูนโคน กลบปุ๋ยต้นฤดูฝน |
|
กลุ่มชุดดินที่
33B |
|
ลักษณะโดยทั่วไป : เนื้อดินเป็นพวกดินร่วนปนทรายแป้ง ดินมีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลปนแดง บางแห่ง ในดินล่างลึก
ๆ มีจุดประสีเทาและน้ำตาล
อาจมีแร่ไมก้าหรือก้อนปูนปะปน เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินพวกตะกอนลำน้ำ พบบนสันดินริมน้ำเก่าและเนินตะกอนรูปพัด
มีพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบถึง เป็นลูกคลื่นลอนลาด
มีความลาดชันประมาณ 2-12 % เป็นดินลึกมาก มีการระบายน้ำดีถึงดีปานกลาง ระดับน้ำใต้ดินอยู่ลึกกว่า
1 เมตรตลอดปี มีความ อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติปานกลาง
ดินชั้นบนมี pH ประมาณ 6.5-7.5 ได้แก่ชุดดินดงยางเอน ชุดดินกำแพงแสน ชุดดินกำแพงเพชร
และชุดดินลำสนธิ ธาตุพนม |
|
ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน : มีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำได้ในบางปี |
|
ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช : กลุ่มชุดดินที่ 33 มีศักยภาพเหมาะสมในการปลูกพืชหลายชนิดทั้งพืชไร่ พืชผัก ไม้ผล
และทำนาข้าว ซึ่งได้ใช้ประโยชน์ดังกล่าวนี้อยู่ในภาคต่าง
ๆ ที่พบดินกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับศักยภาพ |
|
การจัดการกลุ่มชุดดินที่ 33 |
|
ปลูกข้าวหรือทำนา ปัญหาดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่างหรือมีแต่ไม่เพียงพอ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่ ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยหมัก อัตรา 1.5-2.0 ตัน/ไร่
ใส่ระยะการไถเตรียมดินก่อนปักดำข้าว
หรือ อาจจะมีการปลูกพืชตระกูลถั่วพวกปอเทือง โสนอัฟริกาฯ เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์
5 กก./ไร่
หว่านก่อนถึงฤดูทำนาประมาณ
2-3 เดือน แล้วจึงไถกลบ การใส่ปุ๋ยเคมี ควรใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใส่ก่อนปักดำ 1
วัน หรือ ใส่วันปักดำแล้วคราดกลบโดยใช้ปุ๋ย 16-20-0
หรือ
20-20-0 อัตรา 20 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง และอัตรา 35 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง
ครั้งที่สอง ใส่ก่อนระยะข้าวออกดอก ประมาณ
30 วัน หรือ หลังจากปักดำแล้วประมาณ 30-45 วัน โดยหว่านให้ทั่วแปลงเป็นการใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตอัตรา
15 กก./ไร่ หรือปุ๋ยยูเรีย
อัตรา 6 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อแสงหรือใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 13
กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง |
|
ปลูกพืชไร่
ปัญหาการระบายน้ำของดินเลว การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ในกรณีปลูกพืชไร่ในช่วงฤดูแล้งหรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าวควรดำเนินการ ดังต่อไปนี้
ให้ทำร่องระบายน้ำรอบกระทงนาและทำร่องระบายในกระทงนาในกรณีที่กระทงนาใหญ่ ซึ่งห่างกันประมาณ
15-20 เมตรและร่องมีความกว้าง 40-50
ซม.ลึกประมาณ
20-30 ซม. ซึ่งร่องที่กล่าวนี้จะช่วยระบายน้ำผิวดินและสะดวกในการให้น้ำและเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก
ปัญหาดินขาดธาตุอาหารพืชบางอย่าง และดินค่อนข้างไม่ร่วนซุย
เช่น พืชตระกูลถั่ว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา
1-2 ตัน/ไร่ หว่านให้ทั่วแปลงแล้วไถกลบก่อนปลูก
7-14 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 0-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ หรือสูตรอื่นที่มีธาตุอาหารพืชเท่าเทียมกัน
ใส่รองก้นหลุมปลูกหรือโรยสองข้างแถวปลูกแล้วพรวน
ดินกลบเมื่อถั่วอายุได้
20-25 วัน |
|
ข้าวโพด
และข้าวฟ่าง ใส่ปุ๋ยเคมีปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่มชุดดินที่ 4 |
|
ปลูกไม้ผล เตรียมหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 ซม. คลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 25-30 กก./หลุม |
|
พืชที่เหมาะสมกับชุดดิน ถั่ว,
ข้าวโพด, ข้าวฟ่าง, ลิ้นจี่ |
|
กลุ่มชุดดินที่
4f |
|
ลักษณะโดยทั่วไป : เนื้อดินเป็นพวกดินเหนียว ดินบนมีสีน้ำตาลปนเทาหรือสีน้ำตาล ดินล่างมีสีน้ำตาลปนเทา
หรือสีน้ำตาลหรือสีเทาปนสีเขียว มะกอกมีจุดประสีน้ำตาลปนเหลืองหรือสีน้ำตาลแก่
อาจพบก้อนปูน ก้อนสารเคมีสะสมพวกเหล็ก และแมงกานีสในชั้นดินล่าง การระบายน้ำค่อนข้างเลวถึงเลว
พบตามที่ราบเรียบหรือที่ราบลุ่มระหว่างคันดินริมลำน้ำ
กับลานตะพักลำน้ำค่อนข้างใหม่ น้ำแช่ขัง ในฤดูฝนลึก 30 - 50 ซม. นาน 4-5 เดือน
ดินมีความ อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติปานกลาง
pH 5.5-6.5 ถ้าหากดินมีก้อนปูนปะปนอยู่ pH จะเป็น7.0-8.0 ได้แก่ ชุดดินชัยนาท ราชบุรี
ท่าพล และสระบุรี, บางมูลนาค
ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวส่วนใหญ่ใช้ทำนา บางแห่งยกร่องเพื่อปลูกพืชผักหรือไม้ผล
ซึ่งมักจะให้ผลผลิตค่อนข้างสูง |
|
ปัญหาในการใช้ประโยชน์ที่ดิน : ในฤดูฝนมีน้ำแช่ขังนาน 4 - 5 เดือน |
|
ความเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช : สภาพพื้นที่ราบลุ่มมีสภาพพื้นที่ราบเรียบถึงเกือบราบเรียบ ดินมีสภาพการระบายน้ำค่อนข้างเลวถึงเลว
ในช่วงฤดูฝนมีน้ำขังที่ผิวดินเป็นระยะเวลา 4-5 เดือน เนื้อดินเป็นดินเหนียวเก็บกักน้ำได้ดี
จึงเหมาะสมที่จะใช้ในการทำนามากกว่าการปลูกพืชอย่างอื่น อย่างไรก็ตามหลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรือในช่วงฤดูแล้งกลุ่มชุดดินนี้
สามารถใช้ในการปลูกพืชไร่หรือพืชผักที่มีอายุสั้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากดินมีความชื้นพอที่ จะปลูกได้และดินกลุ่มนี้พบบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ
ได้แก่ แม่น้ำสายสำคัญจึงสามารถที่จะนำน้ำจากแม่น้ำดังกล่าวมาใช้เสริมในการปลูกพืชได้และได้ มีการปฏิบัติกันอย่างกว้าง
ขวางในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
|
การจัดการกลุ่มชุดดินที่
4 |
|
ปลูกข้าวหรือทำนา เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินปฏิบัติเช่นเดียวกับกลุ่มชุดดินที่ 3 การใช้ปุ๋ยเคมีใส่
2 ครั้ง ครั้งแรกใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 หรือ
สูตร 20-20-0
หรือ สูตร 18-20-0 สูตรใดสูตรหนึ่ง อัตรา 20 กก./ไร่ สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสงและอัตรา
35 กก./ไร่ สำหรับข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง ใส่ก่อนปักดำ
1 วัน หรือใส่วันปักดำแล้วคราดดินกลบ ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยแต่งหน้าด้วยแอมโมเนียมซัลเฟต
อัตรา 15 กก./ไร่ หรือปุ๋ยยูเรียอัตรา 6 กก./ไร่ สำหรับข้าวไวต่อช่วงแสง
ถ้าเป็นข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตอัตรา 13 กก./ไร่ ให้ใส่ก่อนระยะข้าวออกดอกประมาณ
30 วัน หรือหลังปักดำแล้ว 30-45
วัน โดยหว่านให้ทั่วแปลง พันธุ์ข้าวที่แนะนำ เช่น ขาวตาหยก ไข่มุก รวงยาว สีรวง
ลูกเหลือง เหลืองประทิว 123 ขาวดอกมะลิ 105 กข 7 กข. 13 กข 23
สุพรรณบุรี 90 ปลูกพืชไร่ กรณีปลูกพืชไร่ในช่วงฤดูแล้งหรือหลังเก็บเกี่ยวข้าว เตรียมพื้นที่
เพาะปลูก ให้ทำร่องระบายน้ำรอบกระทงนาและทำร่องภายในกระทงนา
ห่างกันประมาณ 10-15 เมตร ร่องกว้าง 40-50 ซม. ลึก 20-30 ซม. เพื่อช่วยระบายน้ำหรือให้น้ำดูแลพืชปลูก
กรณีเปลี่ยนสภาพพื้นที่จากนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่แบบถาวร
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับ กลุ่มชุดดินที่ 1 การใช้ปุ๋ยเคมี เช่น พืชตระกูลถั่ว ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร
0-46-0 อัตรา 15-20 กก./ไร่ หรือสูตร 0-20-0 อัตรา
30-40 กก./ไร่ ใส่รองก้นร่องปลูกหรือโรยสองข้างแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบ เมื่อถั่วอายุได้
20-25 วัน |
|
ข้าวโพดและข้าวฟ่าง ใส่ปุ๋ยสูตร 20-20-0 อัตรา 40-50 กก./ไร่ หรือสูตร 23-23-0 อัตรา 35-45 กก./ไร่
โรยทั้งแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบเมื่อข้าวโพด
ข้าวฟ่าง อายุ 20-25 วัน หรือใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 อัตรา 30-40 กก./ไร่ โดยใส่รองก้นหลุม
ร่วมกับปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 20-30 กก./ไร่ หรือสูตร
46-0-0 อัตรา 10-15 กก./ไร่ โรยสองข้างแถวแล้วพรวนดินกลบเมื่อข้าวโพดหรือข้าวฟ่าง
อายุ 20-25 วัน |
|
มะละกอ พันธุ์ที่แนะนำได้แก่ โก้โก แขกดำ จำปาดะ สายน้ำผึ้ง ฮาวาย มาเลเซีย ใช้สูตร 14-12-12
หรือ 20-15-15 ควรใส่หลังจากย้ายปลูก 2-3
อาทิตย์ ถึงมะละกออายุได้ 1 ปี ใส่ปุ๋ย 1 กก./ต้น/ปี หลังจากอายุได้ 1 ปีขึ้นไป
ใส่ประมาณ 1-1.5 กก./ต้น/ปี |
|
ฝรั่ง พันธุ์ที่แนะนำ ได้แก่ พันธุ์เวียดนาม พันธุ์ทูลเกล้า กลมสาลี การใส่ปุ๋ย สูตร
15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตราประมาณ 1 กก./ต้น/ปี ควบคู่ไปกับการใช้ปุ๋ยคอก
หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10 กก./ต้น |
|
พืชที่เหมาะสมกับชุดดิน ข้าว, ข้าวโพด, ฝ้าย, มะม่วง,
มะละกอ, ฝรั่ง, ข้าวฟ่าง, ถั่ว |
|
- การคมนาคม |
|
การคมนาคมของตำบล มีการคมนาคมทางบกเป็นหลัก สำหรับเดินทางและขนส่งผลิตผลการเกษตรออกสู่ตลาดแยกเป็น
-
การติดต่อกับอำเภอใกล้เคียง ใช้ทางหลวงท้องถิ่น ถนนลาดยางสภาพดี เชื่อมทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 32 ติดต่อกับตัวจังหวัด
- การติดต่อภายในตำบลใกล้เคียง ใช้ทางหลวงท้องถิ่น ถนน ก.ส.ช. ถนนคันคลองชลประทานได้โดยสะดวก
- มีรถยนต์โดยสารประจำทาง 2 สาย วิ่งผ่านตำบลปากจั่น สายสระบุรี - อยุธยา, สายอำเภอท่าเรือ
- อยุธยา |
|
- แหล่งน้ำ |
|
แหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภค
- บริโภค และเพื่อการเกษตรในตำบลปากจั่นนั้น อาศัยน้ำฝนและน้ำจากแม่น้ำป่าสัก 1
สาย คลองธรรมชาติ 4 สาย
(คลองไทย คลองมอญ คลองลาว คลองร่างไอ้ด่าง)
บึงหนอง 5 แห่ง |
|
แหล่งน้ำที่สร้างขึ้น
สามารถใช้อุปโภค
บริโภค ได้แก่ บ่อบาดาล 8 แห่ง, ประปาผิวดิน 2 แห่ง, ประปาหมู่บ้าน 9 แห่ง, ถังเก็บน้ำฝน
4 แห่ง, ประปากรมอนามัย 1 แห่ง |
|
ปริมาณน้ำที่ใช้อุปโภค - บริโภค เพื่อการเกษตรนั้น มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการของเกษตร |
|
|
|
|